Thursday, May 7, 2015

8 วิธีบรรเทาปัญหาเรื่องเสียงร้องของนกแก้ว





ก่อนอื่นโปรดรับรู้ไว้ว่า นกแก้วทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนส่งเสียงร้องทั้งหมด ดังนั้นการกรีดร้อง หรือส่งเสียงดังจะเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะดังมากบ้างน้อยบ้างก็แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือนกในตระกูล มาคอว์, กระตั้ว ซึ่งจะดังไป 3 บ้าน 8 บ้าน ส่วนตระกูล คอนัวร์จะออกแนวเสียงแหลมๆ ให้แสบแก้วหูเล่น  ซึ่งบางครั้งเดินออกมาหน้าปากซอย ก็ยังได้ยินเสียงนกที่บ้านเราร้องอยู่  ดังนั้นการจะรับเลี้ยงนกสายพันธุ์เหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาให้ดี การเลือกสายพันธุ์ย่อย ที่ไม่ค่อยส่งเสียงร้องก็อาจจะช่วยได้  เช่น กรีนชีคคอนัวร์นั้น จะร้องเบากว่า และไม่ถี่เท่าซันคอนัวร์เป็นต้น  มิเช่นนั้นแล้วคุณอาจจะมีปัญหากับเพื่อนบ้านก็เป็นได้


อย่างไรก็ดีหากคุณเป็นผู้ที่เลี้ยงนกแก้ว แล้วพบปัญหาเสียงที่ร้องดังจนแสบแก้วหู, ร้องพร่ำเพรื่อไม่เป็นเวลา ลองวิธีเหล่านี้ดู อาจช่วยบรรเทาปัญหาได้


1. อย่าสนใจ - เมื่อไหร่ที่นกแก้วของคุณกรีดร้อง อย่าสนใจ, อย่าให้อาหาร/รางวัล, อย่าเดินไปดู, อย่าตะโกนด่า ฯลฯ  ให้เพิกเฉยไปเลย เพราะยิ่งคุณให้ความสนใจเท่าไหร่ เค้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าการกรีดร้องนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง


2. ให้เวลา - มีเวลากับนกของเราให้มากๆ หากเลี้ยงในสถานที่ปิดและนกมีความคุ้นเคยกับเจ้าของอยู่บ้าง ให้นำเค้าออกมาจากกรง สัมผัส, จับตัว, ลูบหัวบ้าง หากเลี้ยงแบบปล่อยบินอิสระ ควรนำนกออกมาบินให้เป็นเวลา เพราะนกที่ปล่อยบินอิสระแล้วหากวันใดไม่ได้บิน อาจเกิดปัญหาเรื่องอารมณ์ และการส่งเสียงกรีดร้องได้เช่นกัน


3. สถานที่เลี้ยง - การย้ายสถานที่เลี้ยง/เปลี่ยนกรง อาจเกิดปัญหาเรื่องเสียงได้เช่นกัน ผู้เลี้ยงไม่ควรย้ายสถานที่เลี้ยงบ่อยเกินควร


4. คู่อาฆาต - หากเลี้ยงนกไว้หลายตัว แม้จะอยู่คนละกรงก็ตาม บางครั้งจะมีนกบางตัวไม่ชอบกัน ไม่ถูกกัน    ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้นก กรีดร้อง หรือ มีความก้าวร้าวขึ้นได้ ผู้เลี้ยงต้องหมั่นคอยสังเกตพฤติกรรมของนกที่เลี้ยงเอาไว้ หากพบปัญหาดังกล่าวให้หาวัตถุมาวางกั้นไว้ไม่ให้นกเห็นหน้ากัน หรือย้ายกรงของนกตัวที่มีปัญหาออกไป ก็จะช่วยได้


5. ตบรางวัล - หากนกของคุณส่งเสียงร้องแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่การกรีดร้อง เช่นผิวปากเป็นเพลงหรือพูดเป็นคำๆ ควรให้รางวัลเพื่อให้เค้าจำได้ ว่าการส่งเสียงแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่ดี


6. ของเล่น - ควรหาของเล่น  หลากหลายชนิด ให้เค้ากัดแทะเพื่อแก้เบื่อ  ซึ่งผู้เลี้ยงบางคนจะละเลยตรงจุดนี้ คิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆแล้วมันสำคัญมากๆ


7. สภาพแวดล้อม - บางครั้งการกรีดร้อง อาจจะมาจากนกแก้วของเรานั้นพบเห็นนกตัวอื่นๆ หรือสุนัข/แมว ที่เดินผ่านไปมาอยู่นอกบ้าน หรืออาจจะเกิดจากการได้กลิ่น หรือ เสียงที่ผิดปกติที่มาจากภายในบ้าน/นอกบ้าน  ผู้เลี้ยงควรวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาที่ถูกจุด ก็จะสามารถบรรเทาเสียงร้องได้


8. เจ็บปวด - การร้องเสียงดัง บางทีอาจเป็นได้ว่านกของเรานั้น มีความผิดปกติหรือการเจ็บปวดทางร่างกาย เช่นข้อเท้าเคล็ด, ขาหัก หรือ อาการอื่นๆ  ผู้เลี้ยงต้องหมั่นคอยดูแล และ ตรวจสอบความผิดปกตินกของตนเองให้ดี


สุดท้ายแล้วหากนกแก้วที่บ้านของคุณร้องเสียงดัง นอกเหนือจากปัญหาที่จะเกิดกับเพื่อนบ้าน หรือคนในบ้านแล้ว อยากให้มองในแง่ดีเอาไว้ก่อนว่า นกแก้วของคุณนั้นมีสุขภาพกายที่ดี เพราะนกแก้วที่เงียบผิดปกติ หรือแทบไม่ส่งเสียงร้องเลยนั้น อาจบ่งบอกได้ว่า นกแก้วของคุณนั้นป่วยอยู่ได้  หากนกแก้วของคุณ จากที่เคยส่งเสียงร้อง อยู่มาวันนึงเริ่มเงียบลง และทานอาหารน้อยลงหรือไม่ทานเลย ประกอบกับมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่นซึมหรือหน้าบวมมีน้ำมูก ฯลฯ ให้รีบพาไปพบสัตว์แพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการวินิจฉัยทันที  


Thursday, April 9, 2015

สิ่งที่ผู้เลี้ยงนกแก้วควรทำ 5 ข้อง่ายๆ เพื่อสุขภาพกายและจิต ที่ดีของนก





1. การยอมรับ - สมาชิกในบ้านของคุณ ทุกๆคนควรยอมรับในการเลี้ยงนกแก้ว หากมีเด็กควรพูดคุยให้เข้าใจ เพราะบางคน หากไม่ชอบนก หรือไม่เข้าใจธรรมชาติของนกแล้ว การเลี้ยงดูอาจเกิดปัญหาในระยะยาวได้ เนื่องจากอาจมีการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว เกี่ยวกับเรื่องของเสียงร้องของนก หรือปัญหาอื่นๆ



2. ขนาดของกรง - กรงนกของคุณ ควรที่จะเหมาะสมกับขนาดของนก หากนึกไม่ออกว่าจะเอาขนาดไหน ก็ท่องเข้าไว้ "ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งดี" และถ้าเป็นไปได้ ควรตั้งในที่ๆ ตัวนกจะสามารถเห็นสมาชิกทุกคนในบ้านได้  เช่นห้องรับแขกเป็นต้น




3. อาหาร - ควรมีอาหารที่หลากหลาย มีผัก ผลไม้สดให้ตามสมควรอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ (ระวังเมล็ด  เช่น เมล็ดแอปเปิ้ลควรเอาออกก่อน เพราะเป็นพิษต่อนกแก้วได้) ส่วนพวกเมล็ดพืชอบแห้งต่างๆนั้น เช่นเมล็ดทานตะวัน สามารถให้ได้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรให้นกรับประทานแต่เมล็ดพืชอย่างเดียว เพราะในระยะยาวจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพ หากไม่มีเวลาซื้อผลไม้สดๆให้ อย่างน้อยควรเป็นอาหารเม็ดชนิดรวม เกรดคุณภาพจากผู้ผลิตที่ได้มาตราฐานจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ





4. ของเล่นของนก - ของเล่นเป็นสิ่งจำเป็นมาก(ของเล่นสำหรับนก) เพราะนกตระกูลปากขอ เป็นนกที่ชอบกัดเทะ ในธรรมชาติเค้าจะหาอาการกินทั้งวัน และจะกัดแทะสิ่งของรอบๆ เพื่อสำรวจ และแก้ไขปัญหา การนำของเล่นที่ช่วยให้เค้าได้ฝึกวิธีแก้ไขปัญหานั้น จะสามารถช่วยให้เค้าไม่เบื่อ  และก้าวร้าวได้  และเมื่อของเล่นพังไปแล้ว ควรเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้เมื่อมีโอกาส





 5. ให้ความสนใจ - เล่นกับเค้าบ่อยๆ และจับตัว ลูบหัว แสดงความสนใจกับเค้าให้มากๆ และควรมีเวลาอย่างน้อย 1-2ชั่วโมงของแต่ละวัน เพื่อการสร้างความสัมพันธ์ การทำเช่นนนี้ จะทำให้นกไม่เครียด และลดเสียงร้องที่โวยวาย หนวกหูลงได้





 6. การฝึกฝน - ควรฝึกนกตั้งแต่ยังเล็กๆ เช่นการ call back หรือ การให้รางวัลเมื่อเค้าทำบางอย่างได้ถูกต้อง  การทำเช่นนี้ จะช่วยทำให้นกอยู่ในความควบคุมของเราได้ง่ายขึ้น และเป็นการลดอาการเบื่อในแต่ละวันของตัวนกได้เป็นอย่างดี การฝึกในแต่ละครั้ง ไม่ควรเกิน 5-10 นาที และควรเป็นมื้อเช้ามื้อแรกของแต่ละวัน


หากคุณเป็นผู้ที่เลี้ยงนกแก้วอยู่แล้ว ลองเช็คดูครับ ว่าคุณได้ทำแบบนี้ครบทุกทุกข้อแล้วหรือยัง? หากทำได้ไม่ครบทุกข้อก็ไม่เป็นไร (จริงๆอย่างน้อยข้อที่ 1,3,5นั้น ก็ควรที่จะทำได้  ถ้าหากทำไม่ได้ คุณก็ไม่ควรเลี้ยงนกแก้วครับ)  แต่ถ้าหากทำได้ครบทุกข้อแล้ว มั่นใจได้เลยครับว่า ทั้งตัวคุณและนกแก้วที่คุณเลี้ยงนั้น ก็จะมีสุขภาพกาย และจิตที่ดีอย่างแน่นอน


Wednesday, April 1, 2015

กระตั้วระดับตำนาน ที่ยังมีชีวิตอยู่ "คุ้กกี้" นกกระตั้วพันธุ์ Major Mitchell's

"คุ้กกี้" นกกระตั้วพันธุ์ Major Mitchell's


เจ้า "คุ้กกี้" นกกระตั้วพันธุ์ Major Mitchell's ที่สวนสัตว์ บลู๊คฟิลด์, ชิคาโก จะมีอายุ ครบ 82 ปีแล้วในปี 2015 นี้ มันคือนกที่เป็น Signature ของ สวนสัตว์ บลู๊คฟิลด์และเมืองชิคาโกด้วยอีกต่างหาก อยู่มาตั้งแต่ สมัย ประธานาธิปดี Franklin D. Roosevelt โน่นน่ะครับ

ตามประสาคนรักนก ก็อยากที่จะไปเห็นเจ้า คุ้กกี้ตัวเป็นๆซักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเนื่องจากตอนนี้มันแก่มากแล้ว ทางสวนสัตว์จึงเก็บเค้าไว้ในที่ดูแลพิเศษ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของตัวเจ้าคุ้กกี้เอง
ผู้เลี้ยงและคนแลเจ้า คุ้กกี้ ต่างก็ล้มหายตายจากไปกันหลายคน ช่วงชีวิตของเจ้าคุ้กกี้ เคยพบปะผู้คนมากมาย ที่มีชื่อเสียงก็หลายคน เป็นนกอยู่มานานมาก และถ้ามันพูดได้ มันก็คงมีเรื่องราวมากมาย มาสู่ให้พวกเราฟังได้ไม่เบื่อแน่นอนครับ

การรับนกแก้วมาแลี้ยง ให้ดูกรณีของ คุ้กกี้ เป็นหลักนะครับ  ว่าเค้าจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน ก่อนที่จะรับมาเลี้ยง เราควรต้อง ศึกษาความพร้อมให้ดี และควรถามตัวเองย้ำๆเสมอๆว่า เราสามารถดูแลนกของเราตลอดไปหรือไม่?

Monday, March 23, 2015

การเลี้ยงนกแก้ว หลายตัว ในกรงเดียวกัน


หากกรงมีขนาดเนื้อที่กว้างขวาง ก็สามารถเลี้ยงได้ ภายใต้เงื่อนไขบางประการ

เราสามารถเลี้ยงนกแก้วต่างสายพันธุ์ หลายตัวในกรงเดียวกันได้หรือไม่? คำถามนี้ มักจะมีมาเรื่อยๆ คำตอบที่ถูกคือ ทั้ง "ได้" และ "ไม่ได้" ผู้เลี้ยงมักจะทึกทักเอาเอง ว่านกที่ซื้อมาตัวใหม่ จะสามารถเข้ากันได้ดีกับเจ้านกแก้วตัวเก่าที่บ้าน  เพราะแม้แต่สายพันธุ์เดียวกันยังมีปัญหาตีกันได้  นับประสาอะไรกับนกต่างสายพันธุ์ ซึ่งปัญหาหลักๆ จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกันดังนี้


สายพันธุ์
- นกแก้วบางสายพันธุ์นั้นเป็นมิตรกับนกพันธุ์อื่นๆ สายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสุภาพเรียบร้อย  ไม่ค่อยสร้างปัญหาใดๆ ก็มีก็มีตระกูล ค็อกคาเทล, Budgerigar (นกหงษ์หยก) หรือตระกูลคอนัวร์ก็เข้ากับนกแก้วสายพันธุ์อื่นๆได้ดีเช่นกัน  ที่ควรระวังคือตระกูล มาคอว์ทั้งหลาย เพราะถ้าไม่ได้เลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่ลูกป้อน  อาจเกิดปัญหาได้ เพราะถึงแม้จะเชื่องกับผู้เลี้ยง แต่จะค่อนข้างก้าวร้าวมากกับนกสายพันธุ์อื่นๆ


อุปนิสัยของนก
- นกแต่ละตัว จะมีนิสัยที่แตกต่างกันไป คล้ายๆกับ หมาแมว ทั่วๆไปนั่นเอง แม้นิสัยโดยรวมจะถูกกำหนดโดยสายพันธุ์มาแล้ว เช่น สายพันธฺุ์ กรีนชีค คอนัวร์ จะส่งเสียงร้องน้อยกว่า ซัน คอนัวร์  แต่ลักษณะนิสัยที่เป็น individual ก็ยังคงมีอยู่  ดังนั้น ภายใต้การเลี้ยงดู เราต้องหมั่นคอยสังเกตว่านกที่่เลี้ยงนั้น ยังเข้ากันดีหรือไม่? หากเริ่มมีการตีกันบ่อยๆ เราอาจต้องจับแยกกันอยู่ เพื่อความปลอดภัยของตัวนกเอง


ภาพนกแก้ว อเมซอน ตัวหนึ่งหลังจากที่ทะลาะกันในกรงที่เลี้ยงร่วมกัน 


ขนาดของกรง
- นกในธรรมชาตินั้น หากตีกัน ฝ่ายที่แพ้ก็สามารถเลือกที่จะบินหนีไปได้  แต่ถ้าหากเป็นการเลี้ยงในกรงนั้นแน่นอนว่าจะไม่สามารถทำได้ ส่งผลให้ความสูญเสีย อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นนกใหญ่หรือเล็ก แม้แต่ เลิฟเบิร์ด ก็สามารถตีกันถึงตายได้ภายในคืนเดียว ดังนั้นขนาดของกรง ถ้ามีขนาดใหญ่มากๆ ก็จะลดปัญหาการตีกันถึงตายได้ดี เพราะนก สามารถบินไปหลบซ่อนตัวได้ เวลาเกิดปัญหาขึ้น


ตำแหน่งของกรง
- นกต่างสายพันธุ์ที่เลี้ยงรวมกัน หากเป็นไปได้ ตำแหน่งของกรงควรอยู่ใกล้ผู้เลี้ยง หรืออยู่ในตำแหน่งที่สามารถสังเกตการณ์ได้ง่ายที่สุด  เพื่อเวลาที่นกตีกันนั้น เราจะสามารถป้องกันได้ทันท่วงที


อายุของนก
- นกที่เลี้ยงด้วยกันมาตั้งแต่ลูกป้อนนั้น แม้จะต่างสายพันธุ์ ส่วนใหญ่แล้วผู้เขียนพบว่าสามารถเข้ากันได้ดี ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ดังนั้นการเลี้ยงนกแก้วแบบรวมกันในกรงเดียวนั้น หากเลี้ยงตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ก็จะประสบความสำเร็จมาก  ในทางกลับกัน หากเรานำนกที่โตแล้ว มาเลี้ยงคู่กับนกเราที่อยู่มาก่อน  ก็จะมีความเป็นไปได้สูงมากๆ ว่าอาจจะเข้ากันไม่ได้


ไม่มีสูตรสำเร็จ
- บางครั้งคุณอาจจะพบว่า ในนกแก้วบางตัว สามารถเข้ากันได้ดีกับนกแก้วอีกตัว แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งๆที่ต่างสายพันธุ์ หรือมีความก้าวร้าวด้วยกันทั้งคู่!?  กรณีแบบนี้  จะเกิดจากอุปนิสัย ใจคอของนก 2 ตัวนั้นๆนั่นเอง ถ้าเป็นมนุษย์ ก็อาจรียกได้ว่า ถูกใจกันหรือเหม็นขี้หน้ากัน ตั้งแต่แรกพบก็ว่าได้


สรุป - วิธีที่ดีที่สุด หากต้องการเลี้ยงนกแก้ว หลายๆสายพันธุ์นั้น คือการแยกกันเลี้ยงในแต่กรง ให้เป็นส่วนตัว จะดีที่สุด แล้วนำนกออกมาเล่นร่วมกัน ให้รู้จักกัน และเพื่อนกันนอกกรง ยืนคอนอาบแดดด้วยกัน ก็สามารถทำได้ และจะปลอดภัยที่สุด  

ในนกแก้วที่โตแล้ว  เค้าจะมองกรงที่อยู่ เป็นเหมือนรังของเค้า ถ้ามีผู้บุกรุก เค้าก็พร้อมที่จะต่อสู้ และปกป้องที่อยู่ของเค้านั่นเอง ซึ่งเป็นสัญชาติญาณและนิสัยตามธรรมชาติของเค้านั่นเอง


Saturday, March 21, 2015

คิดให้ดีๆ ก่อนที่จะรับเจ้าเพื่อนตัวน้อยมีปีกมาเลี้ยง

การเลี้ยงนกแก้ว ไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ

ถ้าคุณไม่เคยเลี้ยงนกแก้วมาก่อน  นี่คือสิ่งที่ผู้เลี้ยงควรจะพิจารณา ก่อนที่จะรับนกแก้วมาเลี้ยง ซึ่งหลักๆก็จะมีด้วยกัน 6 ข้อดังนี้


นกแก้วทุกสายพันธุ์ เป็นสัตว์สังคม


1. พร้อมจะอยู่กับเค้าตลอดไปชั่วชีวิตหรือไม่? - นกแก้ว อายุขัยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 30-50ปี หากเป็นพันธุ์เล็ก อย่างต่ำๆก็ต้องมี 10-20 ปี เราพร้อมที่จะดูแล เค้าตลอดไปหรือไม่  เพราะหากวันใด วันหนึ่งเราเบื่อเค้า เราไม่สามารถปล่อยให้เค้าบินจากไปเฉยๆได้ เพราะ นกแก้วมักจะติดเจ้าของ หรือถ้าเป็นนกแก้วที่ถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เป็นลูกป้อน อาจไม่สามารถหากินเองได้ตามธรรมชาติ


2. เค้าไม่ใช่หมา หรือแมว - แม้นกแก้วจะฉลาดมาก แต่นกแก้ว ไม่ใช่หมา หรือแมว เราไม่สามารถใช้วิธีการฝึกสอนแบบเดียวกันได้ รวมไปถึง การเอาวัตถุต่างๆ ทุบตีเพื่อทำโทษ เช่นเอานิ้วดีดปากของนกแก้ว เพื่อสอนไม่ให้เค้ากัดสิ่งของ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะนกแก้วจะไม่เข้าใจ และจะส่งผลให้นกแก้วเองมีความก้าวร้าวมากขึ้น


3. มันคือจอมทำลายล้าง - ลืมหมา แมว ที่ชอบขุดคุ้ยดิน หรือ กัดแทะรองเท้าในบ้านของคุณซะ! เพราะนกแก้วสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นงาม หรือ กรอบรูปไม้สัก ที่แขวนอยู่บนที่สูง หรือแม้กระทั่ง แอร์ติดผนัง ทุกอย่างที่เจ้าตัวนี้บินไปถึง มันสามารถกัดแทะเพื่อความบันเทิงส่วนตัวได้ทั้งนั้น และจะไม่มีวันหยุด เพราะนี่คือธรรมชาติของเค้านั่นเอง  (ผู้เขียนเคยเผลอปล่อยไว้ในห้องน้ำ แป๊บเดียวกลับมา พบว่าเค้ากำลัง แทะสายไฟเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ แทะจนเห็นสายทองแดงแล้ว ดีที่ว่าปิดเบรคเกอร์ไว้ ไม่งั้นอาจจะมีโศกนาฏกรรม นกแก้วย่าง เกิดขึ้น)


4. ไม่ใช่แค่จับใส่กรงแล้วป้อนอาหาร - นกแก้วเป็นสัตว์สังคม ในป่าเค้าจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ เค้ามีความฉลาด และมีอารมณ์ โกรธ อิจฉา ดีใจ ฯลฯ เหมือนกับหมา และ แมว ดังนั้นเราจำเป็นต้องเลี้ยงเค้าโดยการให้ความสำคัญกับเค้า เหมือนกับเค้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้าน  เราจำเป็นต้องเอาเค้าออกมาจากกรง เพื่อสัมผัสพูดคุย หรือทำกิจกรรมร่วมกันกับนกของเราในแต่ละวันด้วย  เราควรมีเวลาให้เค้าวันละหลายๆชั่วโมง ในทุกๆวัน ยิ่งทำบ่อยๆ ยิ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตของตัวนก  และนกที่ไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้ จะมีปัญหาในการพัฒนาอารมณ์และอาจมีพฤติกรรมดุร้าย หรือทำร้ายตนเองได้


5. เสียงร้องที่ดัง - โปรดระวัง! นกแก้วบางสายพันธุ์ มีเสียงที่ดัง แสบแก้วหูมาก บางสายพันธุ์ตัวเล็กแต่เสียงไม่เล็กตามตัวเช่นนกแก้ว ตระกูล คอนัวร์  และอย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถฝึกให้เค้าหยุดร้องได้ เพราะไม่มีทางทำได้ อย่างเก่งก็แค่ลดระดับความถี่ของการร้องลงให้น้อยที่สุด การเลี้ยงนกสายพันธุ์ที่มีเสียงดังเหล่านี้ ควรมีที่ทาง ที่กว้างขวาง และไม่รบกวนเพื่อนบ้าน เพราะคุณอาจจะมีปัญหากับเพื่อนบ้านได้  หรือเลือกสายพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ส่งเสียงร้องหนวกหูแทน 


6. ค่ารักษาพยาบาลที่สูง - นกแก้วจัดอยู่ในหมวด สัตว์เลี้ยงพิเศษ ดังนั้นจึงค่อนข้างหา สัตว์แพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญได้ค่อนข้างลำบาก และแน่นอนว่า ค่ารักษาก็จะสูงกว่า หมา แมว หรือสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆแน่นอน



เพื่อสุขภาพกายและจิตที่ดีของนกแก้ว หากผู้เลี้ยงรับได้กับ 6 ข้อนี้  ก็สามารถรับนกแก้วมาเลี้ยงได้ครับ ยินดีด้วยกับนกแก้วตัวใหม่ในครอบครัวของคุณ อย่าลืม! คุณคือหัวหน้าฝูง คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกฝูงของคุณเชื่อฟัง และยอมรับให้ได้


Thursday, March 19, 2015

นกแก้วสายพันธุ์ เซเนกัล - Senegal Parrot

ภาพนกแก้ว เซเนกัล จากธรรมชาติ

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Poicephalus senegalus
ขนาด:  เล็ก, ความยาวโตเต็มที่ประมาณ 22-25เซนติเมตร
ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม:  แอฟริกา
อายุขัยโดยเฉลี่ย:  ประมาณ 40 ปีขึ้นไป
ระดับเสียงร้อง:  เบา


นกแก้วสายพันธุ์ เซเนกัล เป็นนกที่เลี้ยงง่าย มีความฉลาดสูง  นิ่ง และไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน เหมาะมากสำหรับการเลี้ยงในคอนโด หรืออพาร์ทเม้นท์ แต่อาจหาซื้อได้ยากในบ้านเรา เพราะไม่ค่อยมีคนนิยม เนื่องจากสีสรรค์ที่ไม่สวยสะดุดตา  และการพูดที่ไม่พูดเป็นต่อยหอยเหมือน นกแก้ว แอฟริกัน เกรย์ บวกกับนิสัยเฉพาะตัวที่เป็นนกขี้ระแวง และไม่ไว้ใจใครง่ายๆนอกจากเจ้าของ และในนกที่โตเต็มวัยแล้ว จะมีลักษณะพิเศษภายนอกที่ค่อนข้างน่ากลัว  เนื่องจากดวงตาในนกที่โตเต็มวัยนั้น จะค่อนข้างใหญ่ และจะเป็นสีเหลืองเข้ม เมื่อบวกกับส่วนของศีรษะนกที่เป็นสีเทาเข้ม  จึงทำให้ดูพิพึกพิลั่น ไม่น่ารักน่าเอ็นดู เหมือนนกแก้วชนิดอื่นๆ



ลักษณะสีของดวงตาในนกแก้วเซเนกัลที่โตเต็มวัย



อย่างไรก็ดี  หากตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกและนิสัยที่ขี้ระแวงออกไป ลักษณะเด่นที่สุดของนกแก้วสายพันธุ์นี้ นอกจากความฉลาดแสนรู้แล้ว  ยังเป็นอีกหนึ่งในนกแก้วไม่กี่สายพันธุ์ที่ติดเจ้าของ รักเจ้าของมาก  เป็นนกนายเดียว และสามารถฝึกบินอิสระได้ดีมากอีกสายพันธุ์หนึ่ง

Tuesday, March 17, 2015

อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับการเลี้ยงนกแก้ว

 นกแก้วสามารถเลี้ยงในห้องนอน หรือ ห้องที่เปิดแอร์ได้หรือไม่?

คำถามที่พบบ่อย สำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงแก้ว ไว้ในห้องนอน  หรือคอนโด ที่จำเป็นต้องเปิดแอร์นั้น ว่าสามารถเลี้ยงได้หรือไม่ อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับนกแก้วนั้น จะอยู่ระหว่างที่ 18-26องศาเซลเซียส (อ้างอิงจากประเทศเมืองหนาว)  ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการเลี้ยงนกในห้องนอนที่ต้องเปิดแอร์  เพราะนกสามารถปรับตัวได้ดี  ให้ระวังเรื่องสุขภาพของผู้เลี้ยงจะดีกว่า เนื่องจากตัวนกจะมีผงแป้ง ซึ่งบางสายพันธุ์นั้นจะมีมากกว่าปกติ เช่น African Grey หรือตระกูลกระตั้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดภูมิแพ้ได้  ในห้องนอนควรจะมีเครื่องฟอกอากาศติดตั้งเอาไว้ เพื่อฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ และการหมั่นทำความสะอาดกรง หรือวัสดุรองพื้นอยู่เสมอๆก็จะสามารถช่วยได้

สรุปคือสามารถเลี้ยงได้แน่นอน แต่ให้ระวัง ถ้าหากเป็นนกลูกป้อน ต้องเปิดหลอดไฟให้ความอบอุ่นไว้ที่มุมหนึ่งของกรงด้วยเพราะนกยังไม่แข็งแรงพอ  แนะนำหลอดที่ให้ความร้อนโดยเฉพาะ โดยเป็นหลอดที่ต้องไม่มีแสงหรือรังสี UV ใดๆ เพราะกรณีที่ใช้หลอดไฟที่มีแสงจ้ามากๆ อาจทำให้ลูกนกมีปัญหาทางสายตาได้


หน้าตาหลอดไฟให้ความอบอุ่น จะเป็นแบบนี้ครับ

มีหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ ส่วนมากมีขายตามร้านขายสัตว์เลื้อยคลานทั่วไป


แนะนำว่าให้ซื้อที่กำลังความแรง 75watt ก็พอแล้วสำหรับนกลูกป้อน  และให้ปรับระยะห่างตามความเหมาะสมของกำลังไฟ  ถ้ามากกว่านี้อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับลูกนกตัวน้อยๆ ของท่านได้